อาจารย์แพทย์สหรัฐอเมริกา วิเคราะห์ กรณี ดีเจโกกรีนเวฟ

อาจารย์แพทย์สหรัฐอเมริกา วิเคราะห์ กรณี “ดีเจโกกรีนเวฟ” เสียชีวิต : ยังช็อกและเสียใจไม่หายหลังจากที่วงการบันเทิงต้องสูญเสียดีเจที่น่ารักและเก่งอันดับต้นๆ ของประเทศไทยนั่นก็คือ ดีเจโก กรีนเวฟ หรือ ดีเจโก ตฤณ เรืองกิจรัตนกุล นักจัดรายการวิทยุคลื่นดังอย่าง กรีนเวฟ เบื้องต้น แพทย์ลงความเห็นว่า สาเหตุการเสียชีวิตเบื้องต้นมาจากอวัยวะภายในบาดเจ็บหลายแห่งจากการตกจากที่สูง



เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายแพทย์ธานี ธานียวรรณ อาจารย์แพทย์ที่สหรัฐอเมริกา ผู้เชี่ยวชาญโรคปอด และการปลูกถ่ายปอดและวิกฤตบำบัด ได้ออกมาวิเคราะห์กรณี ดีเจโกเสียชีวิต เอาไว้ได้น่าสนใจมากๆ เพราะถ้าหากเป็นเรื่องของการกระโดดลงมาเองนั้น หลายๆ คนมองว่าไม่น่าเป็นไปได้ เพราะ ดีเจโก เป็นคนร่าเริงแจ่มใส และดูเหมือนไม่มีความทุกข์หรือความเครียดอะไรเลย ซึ่งในกรณีของดีเจโก น่าจะเป็นภาวะ Smiling Depression



นายแพทย์ธานี อธิบายว่า เท่าที่รับทราบจากคนรอบข้างคือ ดีเจโก เป็นคนที่ขยันทำงานมาก แม้กระทั่งว่ามานอนที่สถานีเพื่อที่จะเตรียมจัดรายการตอนเช้า และในวันที่เสียชีวิตนี้ก็มีไปเช่าโรงแรม ซึ่งตอนที่เช่าโรงแรมนี้เราก็เจอว่ามีรอยเลือดที่เสื้อคลุมอาบน้ำ มีรอยกรีดที่ข้อมือ เดินออกไปข้างบนดาดฟ้า และมีการเข้าออกห้องหลายๆ ครั้งเหมือนกับว่ากำลังกังวลตัดสินใจอะไรสักอย่างอยู่ เหมือนจะทำไม่ทำดี แล้วสุดท้ายก็ขึ้นไปบนดาดฟ้า



มีร่องรอยเสื้ออยู่บริเวณนั้น มีบุหรี่ แล้วก็ไม่มีร่องรอยอย่างอื่นสุดท้ายก็พบว่าตกลงมาเสียชีวิตอยู่ข้างล่าง ก็มีคนคิดว่าอาจจะเป็นการกระโดดตึกก็ได้หรือก็อาจจะเป็นการที่คิดแล้วคิดอีกว่าจะทำไม่ทำดี แล้วบังเอิญมันพลาดตกลงมาก็เป็นไปได้เหมือนกัน คือเรายังไม่สามารถจะตอบได้ว่าเป็นอย่างไรแต่ประเด็นที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือว่าถ้า ดีเจโก เนี่ยเขามีเหตุที่จะต้องจบชีวิตตัวเอง ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น



ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนั้นได้ทั้งๆ ที่ดู เหมือนไม่มีอะไรเป็นสัญญาณเตือนเลยเขาก็ดูจากรายการเป็นปกติยิ้มแย้มปล่อยมุก คนรอบข้างคุยกับเขาก็รู้สึกสงบ สนุกสนานเฮฮาตามปกติเลยไม่ได้ดูเหมือนมีสัญญาณว่าเราอะไรเลย แต่ถ้าจะให้ผมลองคิดดูดีๆ คืออันแรกเนี่ยเราจะสังเกตว่า ดีเจโก เป็นคนที่ขยันทำงาน



การที่เราขยันทำงานทำแบบนี้เยอะๆ อย่างหนึ่งซึ่งอาจจะมีความเกี่ยวข้องได้ก็คือเรื่องของการเบิร์นเอาท์จากการทำงานหรือการหมดไฟ ซึ่งไม่ใช่ว่าเราจะสังเกตได้ง่ายๆ บางกรณีที่มันชัดเจน เราอาจจะสังเกตได้ว่าเพื่อนเราที่หมดไฟก็ไม่อยากจะมาทำงานทำอะไรก็ผิดพลาดอยู่เรื่อยๆ แต่สำหรับคนซึ่งมีความสามารถสูง บางครั้งเขาสามารถจะปกปิดซ่อนเร้นในสิ่งเหล่านี้ได้ แล้วก็คิดว่าตัวเองเนี่ยจะต้องพยายามมากขึ้นเพื่อที่จะสามารถทำงาน มอบความสุขให้กับทุกๆ คนได้



และนั่น ก็จะปกปิดไว้แต่ใจนะครับแต่แม้จะเหนื่อยแสนเหนื่อยอย่างไรก็จะต้องทำให้ดูเหมือนเป็นปกตินะครับทิ้งความเครียดส่วนตัวไว้ข้างนอกนะอีกอย่างนึงก็คือการที่ทุกคนเนี่ยรู้จักตัวตนเขาในฐานะคนที่ให้ความสุขนะครับคนที่ยิ้มมีเสียงหัวเราะตลอดเวลาปล่อยมุกตลอดเวลาก็ยิ่งทำให้เขาสามารถที่จะแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมาเนี่ยยากมากขึ้นไปด้วย



“ผมคิดว่าอาจจะมีส่วนนะครับและนอกเหนือจากนี้อาจจะมีตัวกระตุ้นอะไรที่อยู่เบื้องหลังอันนี้ก็ได้หลายๆ ครั้งมันจะมีความเครียดอะไรสักอย่างสะสมไม่ว่าจะเป็นจากการงานการเงิน ครอบครัวบ หรืออะไรก็แล้วแต่อาจจะเป็นความสัมพันธ์ก็ได้จากนั้นก็อาจจะมีตัวกระตุ้นตัวใดตัวหนึ่งนะครับเช่นน้อยใจหรือรู้สึกว่าเราทำอะไรสักอย่างไม่สำเร็จนะครับแบบนั้นออกมาได้นะครับ”



ในช่วงตอนหนึ่ง นายแพทย์ธานี ได้อธิบายว่า ภาวะ Smiling Depression มีโอกาสการฆ่าตัวตายสูงกว่า Depression ปกติ เพราะว่าเขาไม่สามารถแสดงความรู้สึกตัวเองออกไปได้รู้สึกว่าตัวเองจะต้องเพอร์เฟคตลอดเวลาต้องสู้ตลอดเวลา แล้วก็คิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรคิดว่าน่าจะเป็นแค่ เราสู้ไม่พอเท่านั้นเอง ต้องพยายามมากกว่านั้น ดังนั้นกว่าจะรู้ตัวมันก็หายไปซะแล้ว ให้การรักษาก็ไม่ทัน ปรึกษาใครก็ไม่ทัน มันไปแล้ว มันก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดการฆ่าตัวตายได้สูงขึ้น